ในปัจจุบันนี้ กล้องกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญติดตัวคนรุ่นใหม่กันไปแล้ว

จะเห็นว่าไปไหนก็ต้องถ่ายภาพกันตลอดเวลา ไม่มีกล้องก็ใช้กล้องมือถือกัน
หลายๆคนคงเพิ่งรู้ตัวว่าชอบถ่ายรูปก็เพราะใช้มือถือถ่ายภาพ

 

 

ถ่ายๆไปมาเริ่มรู้ตัวว่า ตัวเองถ่ายรูปสวยและชอบถ่ายภาพ ก็เริ่มคิดต่อยอด คิดการใหญ่

เราต้องมีกล้องสักตัวน่าจะดี กล้องจากมือถือ ไม่พอสำหรับคนมีฝีมืออย่างเราซะแล้ว 55

แต่..อย่าเพิ่งรีบร้อนเพราะการจะซื้อกล้องสักตัวต้องมีการพิจารณากันดีๆ เพราะราคาก็ไม่ได้ถูกๆ

บางคนไม่ได้มีเงินมากมาย อุตส่าห์เก็บเงิน ไปซื้อมาโดยไม่มีความรู้

อาจจะต้องเจ็บใจ และ เสียเงิน ได้ของไม่ตรงกับใจ  

 

 

 

รามาดูกันว่าถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องกล้องเลย ก่อนตัดสินใจจะซื้อกล้องสักตัว เราต้องดูอะไรกันบ้าง

 

1.รู้เรื่องประเภทองกล้อง (จะได้รู้ว่ากล้องแบบไหนที่เหมาะกับเรา)

กล้อง Compact จะแบ่งย่อยเป็น2แบบ

Compact (ทั่วไป)

ซึ่งมีขนาดเล็กกะทัดรัด ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ใช้งานง่ายส่วนใหญ่

จะมีโหมดสำเร็จรูปมาให้ เป็นออโต้ทั้งหมดสีสันดีไซน์สวย
ใช้ง่ายเหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก กดถ่ายอย่างเดียวก็ถ่ายได้

เก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกทั่วไปไม่หวังเรื่องคุณภาพมากมาย

Compact (ไฮเอนด์)

 

จะมีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่กว่า จะได้คุณภาพของไฟล์ภาพที่ดีกว่าคอมแพคด้วยกันและดีกว่ามือถือ
เพราะเซ็นเซอร์มีขนาด1นิ้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเซ็นเซอร์คอมแพคทั่วไปหลายเท่าตัว

และยังมีฟังก์ปรับตั้งกล้องได้เหมือนกล้องใหญ่กันเลยทีเดียว
เหมาะสำหรับคนที่เริมมีความรู้การถ่ายภาพ มีการหวังผลด้านประสิทธิภาพมากขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น

ซึ่งมาพร้องกับราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน

กล้อง DSLR

 

DSLR ย่อมาจาก Digital Single-Lens Reflex หรือ กล้องดิจิตอลสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว

กล้องที่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ มองผ่านเลนส์ มีกระจกสะท้อนภาพ

มีช่องมองภาพแบบออพติคอล ได้ตรงตามที่เห็น และก็ยังสามารถมองที่จอ LCD
โดยเป็นการมองเห็นจากสถานการณ์จริง 
หลักๆDSLR จะมีเซ็นเซอร์อยู่ 2 ขนาด คือ

ขนาด full frame
จะมีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ มาจากฟอร์แมทฟิลม์ 35 มม.

 

 

จุดเด่นฟูลเฟรม

มีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ ทำให้มีขนาด Pixel ใหญ่ด้วย ทำให้มี Noise น้อยกว่า กล้องขนาด APS-C
สามารถเก็บรายละเอียดของแสงส่วนมืดและสว่างได้ดีกว่า (Dynamic Range)
มีระยะชัดตื้นมากกว่ากล้อง APS-C
มีขนาด Sensor ใหญ่ ทำให้คุณภาพของภาพดีกว่า
ได้มุมรับภาพที่กว้างมากกว่ากล้อง APS-C (ถ้าใช้เลนส์ช่วงเท่ากัน)

ขนาด  APS-C ที่เราเรียกว่า กล้องตัวคูณ ซึ่งมี censer เล็กกว่ากล้องฟูลเฟรม

 

 

การมีตัวคูณเพื่อให้เท่าขนาดของ Full frame
ซึ่งเซ็นเซอร์ใหญ่ก็จะได้เปรียบเรื่องของไฟล์ภาพที่ทีคุณภาพมากกว่า

จุดเด่นตัวคูณ

ตัวกล้องมีขนาดเล็กและเบากว่ากล้องที่มีขนาด Full frame
กล้องAPS-C เมื่อใส่เลนส์ ทางยาวโฟกัสจะมากขึ้น (ด้วยเหตุผลเรื่องตัวคูณเซ็นเซอร์)
เมื่อใส่เลนส์ตัวเดียวกัน ความคมชัดของภาพที่ได้จะดีกว่ากล้อง Full frame

เนื่องจากกล้อง APS-C จะCrop ตรงกลางภาพอยู่แล้ว

 

กล้องDSLR-Like

กล้องดิจิตอลที่มีรูปทรงคล้าย DLSR แต่มีขนาดเล็กกว่า

ปรับตั้งค่ากล้องเหมือนDSLR เพียงแต่ถอดเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้
แต่มีขนาดซูมมากที่ติดมาพร้อมตัวกล้อง และยังมีเซ็นเซอร์ขนาดเท่ากับกล้อง Compact ทั่วไป

เหมาะสำหรับคนเพิ่งเริ่มเล่นกล้องและ ไม่อยากพกอะไรมาก ตัวเดียวจบเที่ยวทั่วไทยได้เลย

 

กล้องMirrorless (ไม่มีกระจกสะท้อนภาพ)

กล้องที่เอากระจกสะท้อนภาพออก ซึ่งไม่มีช่องมองภาพ หรือบ้างรุ่นที่มีช่องมองภาพ ไม่ได้มองผ่านเลนส์

เรียกว่าอิเล็กทรอนิกส์ วิวไฟน์เดอร์
หลักๆเซ็นเซอร์ที่ใช้มี 3 ขนาด Full frame ,APS-C ,4/3 (four thirds) ณ.ปัจจุบัน
กล้องมิลเลอร์เลสได้รับความสนใจ จากกลุ่มนักถ่ายภาพมาก ที่มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบา
อุปกรณ์เสริมต่างๆก็เล็กลง
 ทำให้การถือไปถ่ายภาพสะดวก และยังคงได้ภาพเหมือนกับกล้องใหญ่  

 

นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้ก่อนว่าเราเหมาะกับกล้องแบบไหน ในการการเลือกซื้อกล้อง

 

การถ่ายรูปนั้นมีหลายรูปแบบ ลองถามตัวเองให้แน่นใจก่อนว่าต้องการถ่ายรูปไปเพื่ออะไร
หากเป็นมือใหม่เริ่มต้น อาจมองหากล้องคอมแพค หรือ กล้อง Mirrorless  

ถ้าเป็นคนที่ต้องการศึกษาเรื่องกล้องอย่างจริงจังว่าหลักการถ่ายรูปเป็นอย่างไร

หรือถ่ายรูปเป็นมืออาชีพ มองกล้อง DSLR จะดีกว่า

เน้นเซลฟี่เป็นหลัก ก็ต้องจัดกล้องที่พลิกจอได้ ส่วนการถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก

ก็เลือกซื้อกล้อง Mirrorless รุ่นเล็กๆที่มีให้เลือกมากมาย

 

2. ยี่ห้อ และ สเป็คของกล้อง(ความชอบส่วนตัว มีผลต่อการตัดสินใจ)

 

หลายๆคนเลือซื้อกล้องเพราะเพื่อนเชียร์ให้ซื้อ หลายๆคนเลือกกล้องเพราะกลุ่มนี้เค้าใช้ค่ายนี้กัน
จากประสบการณ์ที่เจอมา ซื้อกล้องเพราะตาคนอื่นที่เค้าบอกว่าดียังงั้น ยังงี้

ถ้ามีเงินเยอะไม่ถูกใจก็ขาย แล้วซื้อใหม่ เพราะไม่ตรงใจเราจริงๆ

ส่วนคนที่งบน้อย ก็ต้องทนใช้ไปจนกว่าจะมีเงินเปลี่ยนใหม่ ช้ำใจกันตั้งแต่เจ้าสาวคนแรกเลย

 

การเลือกยี่ห้อ แบรนด์ และ สเป็คของกล้อง ให้ถามใจเราก่อนว่า เราชื่นชอบยี่ห้อไหนเป็นหลัก

ลองดูยี่ห้อนั้นเป็นอันดับแรก และ ดูสเป็คกล้องในเบื้องต้น ว่าตรงกับสิ่งที่เราจะใช้มากน้อยแค่ไหน

จากนั้นให้ลองดูยี่ห้ออื่นๆ ในราคาที่ใกล้เคียงกัน ว่าสเป็คแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน 

มีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไร ซึ่งมีเว็บไซต์รีวิวอยู่มากมาย ลองไปจับตัวเป็นๆก่อนว่าเหมาะมือมั้ย

ฟังชั่นการใช้งานสะดวกจริงรึป่าว ต้องบอกเลยว่าดูรีวิว กับการไปลองของจริง อารมณ์ต่างกันเยอะนะครับ

บางทีดูแล้วเล็กดีไปดูจริงใหญ่กว่ามากก็มี รีวิวสีสวย พอไปถ่ายจริงอาจจะสีไม่ถูกใจก็ได้ ฯลฯ 

 

3.รูปทรง หน้าตาของกล้อง

 

 

รูปร่างหน้าตาของกล้อง มีผลต่อใจ เป็นอย่างมาก เพราะบ่งบอกถึงรสนิยมถึงเจ้าของ
ไม่เพียงแค่ความสวยงามของกล้องเท่านั้น แต่รวมไปถึงขนาด รูปร่างของกล้อง ย่อมมีผลต่อการเลือกซื้อเช่นกัน

กล้องขนาดเล็ก สามารถจับได้ง่าย อาจเหมาะกับมือของผู้หญิง แต่กับมือของผู้ชายอาจจะไม่เหมาะก็เป็นได้
ควรได้ลองจับกล้องก่อนซื้อกล้องจริง จะช่วยในการตัดสินใจได้มาก
เมื่อตัดสินใจเลือกซื้อกล้องได้แล้ว อย่าลืม เรื่องแบตเตอรี่ของกล้องด้วย
เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ จุได้นานแค่ไหน ราคาแบตารีก็มีผลในการซื้อเหมือนกันนะ

 ต้องเป็นแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้ยาวนาน  จะทำให้เราถ่ายภาพได้สนุกยิ่งขึ้น

 

4. ดูราคาของกล้อง กับ งบประมาณของเราที่เรามี 

ในข้อนี้น่าจะเป็นสิ่งสำคัญสุดในการตัดสินใจ ยี่ห้อในดวงใจ สเปคเทพ สีโดนใจ อยากได้ใจจะขาด

แต่เงินไม่ถึง ก็จบข่าวเลยนะ … ต้องดูเงินในกระเป๋าด้วยว่า เรามีความสามรถในการจ่ายได้แค่ไหน

ราคาเริ่มต้นของกล้องมีตั้งแต่เริ่มในหลักพัน จนถึงหลักแสน แค่ตัวกล้องยังไม่รวมเลนส์ต่างๆ
ดังนั้น จึงควรเลือกราคาของกล้องให้สัมพันธ์กับเงินในกระเป๋า

ถามตัวเองก่อนว่ามีงบประมาณสำหรับซื้อกล้องอยู่แค่ไหน
หากราคาสูงจนเกินความจำเป็น อาจมองหารุ่นอื่นๆ ที่ราคาลดลงจะดีกว่า

เฉพาะในยุคปัจจุบันมีเว็บไซต์ให้เช็กราคามากมาย
เราสามารถรู้ราคาได้ในเบื้องต้น ดูโปรโมชัน กับบัตรเครดิตต่างๆ

ผ่อน 0% และได้ Cash Back อื่นๆตามโปรที่มีในขณะนั้น เลือกที่ถูกและดีที่สุดสำหรับเรา 

 

5. รับประกันหลังการขาย

เนื่องจากปัจจุบันกล้อง มีการขายที่เรียกกันว่า ประกันร้าน กับ ประกันศูนย์

กล้อง ประกันร้าน นั่นก็คือ กล้องที่ไม่มีการรับประกันจากบริษัทที่ นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
บางครั้งก็เรียกกันว่า กล้องหิ้ว ประกันร้าน ก็จะเป็นกล้อง และอุปกรณ์ ที่ร้านแต่ละร้านนำเข้ามาขายเอง
บางร้านก็นำเข้าเสียภาษีอย่างถูกต้อง บางร้าน ก็หิ้วข้ามชายแดนมาขาย
การวางขาย ก็มีทั้งหน้าร้าน หรือขายในเวปขายของ online ต่างๆ

ซึ่งกล้องประกันร้านเหล่านี้ ก็มักจะขายถูกกว่ากล้องประกันศูนย์ มากบ้างน้อยบ้าง 

ถ้าเข้าไปดู ในตลาด online ก็จะเห็นว่า ราคากล้องแต่ละรุ่นมันจะต่างกันมาก

 

กล้องประกันศูนย์ นั้น หมายถึง สินค้าที่ได้รับการนำเข้าโดยตัวแทนจำหน่ายที่ถูกต้องในประเทศไทย

ซึ่งจะมีศูนย์บริการเพื่อให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ โดยมีเงื่อนไขการให้บริการในการซ่อม

หรือ ดูแลหลังการขายตามที่กำหนด โดยส่วนใหญ่แล้วจะสามารถใช้บริการศูนย์บริการได้ฟรี ในส่วนของค่าซ่อม

ค่าทำความสะอาดหรือบางแห่งรวมค่าอะไหล่ด้วยในระยะเวลาที่กำหนด เช่น 1 ปี เป็นต้น (เดี๋ยวนี้มีซื้อประกันเพิ่มได้ด้วย)

 

รวมทั้ง ลูกค้าที่ซื้อกล้องประกันศูนย์ ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ
เช่น การจัดกิจกรรม การอบรม training หรือ มีทริปของค่ายกล้อง บริการหลังการขาย

 

สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ กล้องประกันร้านราคาถูกกว่า
แต่เอาเข้าศูนย์บริการในเมืองไทยแล้วถือว่าไม่อยู่ในประกัน คุณต้องเอากล้องตัวนั้นไปเคลมกับร้านที่ซื้อมาเท่านั้น

(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีบริการหลังการขายดีแค่ไหน) อยู่ที่การตัดสินใจของคุณว่าจะประหยัดเงินแล้วเสี่ยงดวง

หรือ ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อความอุ่นใจ

แต่สำหรับ มือใหม่ ขอแนะนำซื้อประกันศูนย์สบายใจกว่าครับ
ปัจจุบันนี้ ทุกค่ายได้มีการปรับอัตราค่าบริการในการซ่อมสำหรับกล้องที่ประกันร้าน

ถ้าเอาเข้าศูนย์ซ่อม ค่าบริการจะเพิ่มมากขึ้น จนไม่กล้าเสี่ยงไปซื้อประกันร้านกันเลยทีเดียว

เพราะแพงต่างจากประกันศูนย์มากๆ  (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงไปจากที่เขียนเรื่องนี้ ตามเวลาที่เปลี่ยนไปนะครับ)

(ราคาและเงื่อนไข อาจมีการปรับเพิ่ม-ลด เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานะครับ)

 

นั่นคือ ข้อคิดและพิจารณา ก่อนตัดสินใจซื้อกล้องใหม่ตัวแรก

ต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจนะครับ

ขอให้ทุกคนโชคดีและมีความสุขในการถ่ายภาพครับ

 

www.vistaimage.net
สอนให้คุณใช้กล้องเป็น เน้นการฝึกถ่ายภาพให้สวยจากกล้อง